FOMO MARKETING คืออะไร? กลยุทธ์สร้างแรงจูงใจที่แบรนด์ดังนิยมใช้กัน

เนื้อหาสำคัญ

FOMO Marketing หรือ Fear of Missing Out Marketing กำลังเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่แบรนด์ชั้นนำทั่วโลกหันมาใช้กันอย่างแพร่หลาย เพราะสามารถกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้อย่างรวดเร็ว ด้วยการสร้างความรู้สึกกลัวพลาดโอกาส หากลองสังเกตในชีวิตประจำวันจะเห็นคำว่า “เหลือสินค้าอีกแค่ 3 ชิ้น” หรือ “โปรโมชั่นสิ้นสุดในอีก 2 ชั่วโมง” เราจึงรู้สึกเร่งรีบอยากซื้อทันที นั่นคือพลังของ FOMO Marketing ที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง

เพราะในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลข่าวสารเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว คนเราก็มีแนวโน้มกลัวพลาดสิ่งดี ๆ มากขึ้น แบรนด์ต่าง ๆ จึงได้นำจิตวิทยานี้มาประยุกต์ใช้ในการทำการตลาด เพื่อเพิ่มยอดขายและสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูกค้า แล้วเราจะสามารถนำกลยุทธ์นี้ไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจของเราเองได้อย่างไร? ในบทความนี้มีคำตอบ เพราะเราจะพาไปเจาะลึกว่า FOMO Marketing คืออะไร ทำงานอย่างไร พร้อมถอดรหัสกลยุทธ์ที่แบรนด์ดัง ๆ นิยมใช้กัน

 

FOMO Marketing คืออะไร?

คำว่า FOMO ถูกบัญญัติครั้งแรกในปี 1996 โดย Dr. Dan Herman และแพร่หลายผ่านอินเทอร์เน็ตจนกลายเป็นพฤติกรรมทางสังคมในยุคดิจิทัล พอมารวมกับคำว่า Marketing เป็น FOMO Marketing คือกลยุทธ์การตลาดที่ใช้จิตวิทยาความกลัวพลาดโอกาส เพื่อกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อหรือกระทำการบางอย่าง หลักการสำคัญอยู่ที่การสร้างความรู้สึก “เร่งด่วน” และ “หายาก” ให้กับสินค้าหรือบริการ เมื่อผู้บริโภครู้สึกว่าโอกาสนี้อาจจะไม่มีอีก พวกเขาจะตัดสินใจซื้อได้เร็วขึ้น แม้บางครั้งอาจจะยังไม่ได้วางแผนไว้ก่อน

ซึ่งความแตกต่างของ FOMO Marketing จากการตลาดแบบดั้งเดิมคือ การเปลี่ยนจากการโน้มน้าวด้วยประโยชน์ของสินค้า มาเป็นการกระตุ้นด้วยอารมณ์และความรู้สึกแทน ทำให้ลูกค้าตัดสินใจจากหัวใจมากกว่าการคิดวิเคราะห์แทนนั่นเอง

 

ทำไมกลยุทธ์ FOMO Marketing ถึงใช้ได้ผล?

ข้อมูลสถิติชี้ว่าในประเทศไทยมีผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียกว่า 49.10 ล้านคน และใช้เวลาบนโลกออนไลน์เฉลี่ยเกือบ 8 ชั่วโมงต่อวัน นั่นหมายความว่าคนส่วนใหญ่ใช้เวลาของวันไปกับการอยู่บนโลกออนไลน์ ซึ่งเต็มไปด้วยคอนเทนต์ที่มากระตุ้นความรู้สึกไม่อยากพลาดอยู่ตลอดเวลา การใช้กลยุทธ์ FOMO Marketing จึงเป็นไปได้ว่าจะ ได้ผลจริง ด้วยเหตุผลหลัก ๆ ดังนี้

  1. “กลัวพลาด” มากกว่า “อยากได้”: ความรู้สึกกลัวว่าจะไม่ทันโปร ไม่ทันของ หรือไม่ทันกระแส เป็นแรงกระตุ้นที่ทำให้ผู้บริโภครีบตัดสินใจโดยไม่รอคิดนาน
  2. แรงกดดันทางสังคม (Social Proof): เมื่อเห็นเพื่อนหรืออินฟลูเอนเซอร์รีวิวหรือพูดถึงแบรนด์หนึ่ง บ่อยเข้า ผู้บริโภคมักรู้สึกว่า “ของมันต้องมี” “คนอื่นมีได้เราก็ต้องมีได้เหมือนกัน”
  3. การจำกัดเวลาและจำนวน: คำว่า “เหลือไม่กี่ชิ้น” “หมดเขตภายในวันนี้” “เฉพาะ 50 คนแรก” คือจุดเร่งการตัดสินใจซื้อโดยไม่ต้องใช้เหตุผลมาก เป็นเทคนิคง่าย ๆ ที่ได้ผลจริง

 

ถอดรหัสกลยุทธ์ FOMO Marketing ที่แบรนด์ดังนิยมใช้

เรามาดูกันว่าแบรนด์ต่าง ๆ นำหลักการเหล่านี้มาประยุกต์ใช้เป็นกลยุทธ์ที่จับต้องได้อย่างไรบ้าง

  1. Time-Limited FOMO (การจำกัดเวลา)
    เป็นการสร้าง FOMO ด้วยการกำหนดระยะเวลาที่จำกัดให้กับโปรโมชั่นหรือสินค้า เช่น Flash Sale ที่มีเวลาเพียง 24 ชั่วโมง หรือการลดราคาพิเศษเฉพาะสุดสัปดาห์นี้เท่านั้น เทคนิคนี้ทำให้ลูกค้ารู้สึกต้องตัดสินใจเร็ว ๆ ไม่งั้นจะพลาดโอกาส
  1. Quantity-Limited FOMO (การจำกัดปริมาณ)
    การแสดงจำนวนสินค้าที่เหลือให้ลูกค้าเห็น เช่น “เหลือเพียง 5 ชิ้นสุดท้าย” หรือ “สินค้ามีเพียง 100 ชิ้นเท่านั้น” กลยุทธ์นี้สร้างแรงกระตุ้นอย่างมากโดยไม่ต้องลดราคาเลยด้วยซ้ำ
  1. Social FOMO (การจำกัดทางสังคม)
    อีกหนึ่งรูปแบบที่ใช้ FOMO ได้ดีคือการจัดกิจกรรมบน Social Media เช่น การไลฟ์สดที่แจกของเฉพาะผู้ดูไลฟ์ หรือการเปิดขายเฉพาะใน LIVE และการแสดงว่ามีคนอื่น ๆ กำลังสนใจหรือซื้อสินค้าเดียวกัน เช่น “มีคนกำลังดูสินค้านี้อยู่ 15 คน” หรือ “คนอื่น ๆ ซื้อไปแล้ว 500 ชิ้นในวันนี้” เทคนิคนี้ใช้หลักจิตวิทยาการทำตามกลุ่ม
  1. Exclusive FOMO (การจำกัดการเข้าถึง)
    การสร้างความรู้สึกพิเศษด้วยการจำกัดสิทธิ์ เช่น สมาชิกพิเศษเท่านั้นที่ได้ส่วนลด หรือการเปิดขายให้เฉพาะลูกค้า VIP ก่อน เทคนิคนี้ทำให้คนรู้สึกว่าตัวเองพิเศษและไม่อยากพลาดสิทธิพิเศษ และกระตุ้นความต้องการของคนนอกกลุ่มที่อยากจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งอีกด้วย
  1. Missed Opportunities FOMO (บ่งบอกถึงโอกาสที่พลาดไป)
    บางครั้ง การแสดงให้เห็นว่าลูกค้า “พลาดอะไรไป” ก็สามารถกระตุ้นการตัดสินใจในอนาคตได้ดีเช่นกันตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ขายเสื้อผ้าบางแห่งยังคงแสดงสินค้ารุ่นที่ “Sold Out” ไปแล้ว แต่มีปุ่มให้กด “แจ้งเตือนเมื่อมีสินค้า” วิธีนี้ไม่เพียงแต่จะสร้างความรู้สึกเสียดายที่ซื้อไม่ทัน แต่ยังช่วยให้แบรนด์เก็บข้อมูลลูกค้าที่สนใจและประเมินความต้องการของตลาดได้อีกด้วย
  1. Leaderboards & Rankings FOMO (การเปรียบเทียบและการจัดอันดับ)
    การแสดงหมวดหมู่ “สินค้าขายดีที่สุด (Bestsellers)” หรือ “สินค้ายอดนิยมประจำสัปดาห์” เป็นการใช้ Social Proof อีกรูปแบบหนึ่งที่บอกลูกค้าทางอ้อมว่า “นี่คือตัวเลือกที่ปลอดภัยและได้รับการยอมรับจากคนจำนวนมาก” ลูกค้าที่ไม่แน่ใจว่าจะเลือกอะไรดี ก็มีแนวโน้มที่จะเลือกซื้อสินค้าจากลิสต์เหล่านี้

 

ข้อดี ข้อควรระวัง ในการใช้ FOMO Marketing

แม้จะเป็นกลยุทธ์ที่ทรงพลัง แต่การใช้ FOMO Marketing ก็เปรียบเสมือนดาบสองคมที่ต้องใช้อย่างระมัดระวัง

ข้อดี

  • เพิ่ม Conversion Rate: กระตุ้นการตัดสินใจซื้อที่รวดเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
  • เร่งยอดขายในระยะสั้น: เหมาะอย่างยิ่งสำหรับแคมเปญ Flash Sale หรือการระบายสต็อก
  • สร้างกระแส: ทำให้แบรนด์เป็นที่พูดถึงและเกิดการรับรู้ในวงกว้าง

ข้อควรระวัง

  • ไม่ควรใช้บ่อยเกินไป: หากทำโปรโมชั่น FOMO บ่อยเกิน ทำให้คนเคยชิน จนไม่รีบ หรือไม่เห็นค่าส่วนลด
  • ต้องจริงใจ โปรโมชั่นต้องมีจริง: อย่าใช้คำว่า “เหลือแค่ 2 ชิ้น” หากจริง ๆ มีหลายสิบชิ้น จะทำให้ความน่าเชื่อถือลดลงทันที
  • เข้าใจทางกฎหมายและจริยธรรม: ต้องเคารพกฎคุ้มครองผู้บริโภค ไม่โฆษณาเกินจริง
  • ไม่สร้างความเครียดให้ลูกค้า: FOMO คือแรงจูงใจ แต่ไม่ควรสร้างความเครียดจนทำให้ลูกค้าเบื่อหรือมีประสบการณ์ที่ไม่ดีกับแบรนด์

 

บทสรุป FOMO Marketing การสร้างคุณค่าที่ไม่อาจปฏิเสธ

การสร้าง “ความตื่นเต้น” และ “ความรู้สึกพิเศษ” ให้กับลูกค้า เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม คือสิ่งที่เปลี่ยนจากความกลัวที่จะพลาดให้กลายเป็นความสุขที่ได้ครอบครอง และนั่นคือเป้าหมายสูงสุดที่จะสร้างความสัมพันธ์อันแข็งแกร่ง และยั่งยืนระหว่างแบรนด์กับลูกค้าในระยะยาว โดยที่ไม่ใช่แค่การเร่งยอดขายในช่วงเวลาหนึ่ง แต่คือการสร้างความรู้สึกอยากมีส่วนร่วม ซึ่งจะทำให้ลูกค้าพร้อมติดตาม สนับสนุน และบอกต่ออย่างเต็มใจ ทั้งหมดนี้คือพลังของ FOMO Marketing เมื่อถูกใช้อย่างสร้างสรรค์ และจริงใจ

หากคุณกำลังมองหาทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดออนไลน์ที่เข้าใจเทรนด์ และช่วยผลักดันธุรกิจของคุณให้เติบโตบนโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการรับทำเว็บไซต์ ที่มีโครงสร้างแข็งแรง รองรับการขยายตัวในอนาคต หรือบริการรับทำ SEO ติดหน้าแรกบน Google อย่างครบวงจร ทีมงานของ Bizsoft ก็พร้อมพูดคุยและให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด ติดต่อได้เลยวันนี้ รับคำปรึกษาฟรี!!

คำถามที่พบบ่อย

FOMO Marketing มุ่งเน้นการสร้างความรู้สึกรีบ และกลัวพลาด ขณะที่โปรโมชั่นทั่วไปอาจเน้นแค่ส่วนลด หรือของแถมโดยไม่มีข้อจำกัดชัดเจน

แนะนำไม่ควรเกิน 1–2 ครั้งต่อไตรมาส เพื่อรักษาความรู้สึกพิเศษของโปรโมชั่น

ได้แน่นอน การสร้างข้อจำกัดด้านเวลา หรือจำนวน ก็เพียงพอที่จะกระตุ้นลูกค้ากลุ่มเล็กให้รีบตัดสินใจ

เตรียมสต็อกให้เพียงพอ ระบบอีคอมเมิร์ซที่รองรับคำสั่งซื้อพร้อมกัน และการแจ้งเตือนลูกค้าเมื่อสินค้าใกล้หมด

ขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมาย แต่ช่องทางหลักคือ Social Media, Email Marketing และเว็บไซต์หลัก

Picture of Bizsoft Development
Bizsoft Development

บทความที่เกี่ยวข้อง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้ในส่วนวิเคราะห์

    คุกกี้ในส่วนวิเคราะห์ จะช่วยให้เว็บไซต์เข้าใจรูปแบบการใช้งานของผู้เข้าชมและจะช่วยปรับปรุงประสบการณ์การใช้งาน โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลและรายงานผลการใช้งานของผู้ใช้งาน

Save