Core Web Vitals คือชุดเมตริกมาตรฐานของ Google ที่วัดประสบการณ์ผู้ใช้จริง ทั้งเรื่องความเร็วในการโหลด ความตอบสนองต่อการโต้ตอบของผู้ใช้ และความเสถียรของภาพบนหน้าเว็บไซต์ โดย Google แนะนำว่าเจ้าของเว็บไซต์ควรปรับปรุง Core Web Vitals ให้ดี เพื่อสร้างประสบการณ์ใช้งานที่ยอดเยี่ยม และช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับในผลการค้นหา ซึ่งปี 2025 ปัจจัยนี้สำคัญมาก เนื่องจาก Google ยังคงให้ความสำคัญกับประสบการณ์ผู้ใช้ (Page Experience) เพื่อจัดอันดับเว็บไซต์ ดังนั้นการเข้าใจ และปรับปรุง Core Web Vitals จะช่วยเพิ่มโอกาสติดหน้าแรก Google มากขึ้น
Core Web Vitals คืออะไร? และทำไมยังสำคัญในปี 2025
Core Web Vitals คืออะไรกันแน่ พูดให้ง่ายที่สุด ก็คือชุดของ “ค่าชี้วัด” 3 ประการที่ Google สร้างขึ้นเพื่อวัดคุณภาพประสบการณ์ของผู้ใช้บนหน้าเว็บไซต์ในมิติที่จับต้องได้และวัดผลได้จริง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปัจจัยการจัดอันดับที่เรียกว่า Page Experience ได้แก่
- LCP (Largest Contentful Paint): เวลาที่คอนเทนต์สำคัญที่สุดของหน้าจอโหลดเสร็จ (ค่า LCP ที่ดีควรจะ ไม่เกิน 2.5 วินาที)
- INP (Interaction to Next Paint): เวลาตอบสนองของหน้าเว็บต่อการโต้ตอบของผู้ใช้ (ค่า INP ที่ดีควรจะ ต่ำกว่า 200 มิลลิวินาที)
- CLS (Cumulative Layout Shift): การเลื่อนหรือกระโดดของเนื้อหาโดยไม่ตั้งใจ (ค่า CLS ที่ดีควรจะ น้อยกว่า 0.1)
Core Web Vitals ยังสัมพันธ์โดยตรงกับ SEO เว็บไซต์ที่มีคะแนน Core Web Vitals สูงมีโอกาสติดอันดับสูงกว่าเว็บไซต์คู่แข่งที่มีคุณภาพเนื้อหาใกล้เคียงกัน ผลสำรวจพบว่าเว็บโหลดเร็วภายใน 2-3 วินาที จะทำให้ผู้ใช้สนใจอยู่ต่อมากขึ้น ลดอัตราการออกจากเว็บ (Bounce Rate) เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ และช่วยเพิ่ม Conversion อีกด้วย
มีอะไรอัปเดตใหม่ใน Core Web Vitals ช่วงครึ่งปีหลัง 2025
ในครึ่งหลังของปี 2025 มีหลายสิ่งที่เกี่ยวกับ Core Web Vitals ยังคงสอดคล้องกับหลักการเดิม คือมุ่งเน้นรักษา LCP, INP และ CLS ให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี แต่มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือ INP มาแทน FID อย่างเป็นทางการแล้ว Google ประกาศเมื่อเดือนมีนาคม 2024 ว่าได้เปลี่ยนจากวัด First Input Delay (FID) มาเป็น Interaction to Next Paint (INP) เพื่อวัดความโต้ตอบโดยรวมของหน้าเว็บแทน การเปลี่ยนแปลงนี้ถือเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ที่มีผลมาจนถึงปี 2025
ถ้าเปรียบเทียบให้เห็นภาพ FID ก็เหมือนวัดแค่ว่าพนักงานต้อนรับกล่าวทักทายคุณเร็วแค่ไหนเมื่อเดินเข้าร้านอาหาร ส่วน INP เหมือนวัดระยะเวลาที่ “รอนานที่สุด” ตลอดมื้ออาหาร ไม่ว่าจะเป็นตอนรอสั่งอาหาร รอรับอาหาร หรือรอเช็กบิล การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งสัญญาณชัดเจนว่า Google ต้องการให้เว็บไซต์มอบประสบการณ์ที่ “ลื่นไหลตลอดการใช้งาน” ไม่ใช่แค่เร็วตอนเริ่มต้นเท่านั้น
ปรับเว็บให้พร้อมรับมือทุกการอัปเดตให้ไม่หลุดหน้าแรกบน Google
ส่วนที่ 1: การปรับปรุง LCP (ทำให้เว็บโหลดเร็วสุดขีด)
ควรให้คอนเทนต์หลักปรากฏเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ วิธีหลักคือ อย่า lazy-load รูป/วิดีโอที่เป็นคอนเทนต์หลัก (เพราะเบราว์เซอร์จะโหลดช้า หากโหลดแบบ lenient) ใช้การ Preload หรือ กำหนดให้เบราว์เซอร์โหลดทรัพยากรที่สำคัญก่อน นอกจากนี้
- โฮสต์เนื้อหาหลัก (HTML, LCP image) บน Origin เดียวกันเพื่อรีไซเคิลการเชื่อมต่อ
- บีบอัดภาพด้วย Format ทันสมัย (WebP/AVIF) และลดขนาดไฟล์ไม่จำเป็น
- ใช้ CDN เพื่อกระจายโหลดให้ใกล้ผู้ใช้มากขึ้น
- ลดความยุ่งยากของ CSS/JS ที่บล็อกการเรนเดอร์ โดยจัดกลุ่มหรือย่อขนาดไฟล์ ลดโค้ดที่ไม่จำเป็น แล้วให้โหลดแบบ async/defer
- ใช้ Browser Cache อย่างเหมาะสม เพื่อให้ไฟล์ที่โหลดบ่อยไม่ต้องดาวน์โหลดซ้ำ
ส่วนที่ 2: การพิชิต INP (สร้างเว็บที่ตอบสนองทันใจ)
เนื่องจาก INP วัดความล่าช้าของทุกอินพุต งานหลักคือ ลดงานหนักบนเธรดหลัก หลักการคือแบ่งโหลด JavaScript ให้เป็นส่วนย่อย ๆ แล้วใช้ setTimeout หรือ requestIdleCallback เพื่อให้เบราว์เซอร์มีช่องว่างไปตอบสนองการคลิกของผู้ใช้ได้ หลีกเลี่ยงการใช้สคริปต์ภายนอก (third-party) อันไหนไม่จำเป็นให้ลบออก หากเป็นเว็บแบบ SPA (single-page app) อาจควรพิจารณาใช้ Server-side Rendering หรือแบ่งโค้ดบนฝั่งไคลเอ็นต์ให้จิ้มเร็วขึ้น เพราะงานฝั่งคลาสสามารถทำให้เกิด Long Tasks ที่บล็อกการตอบสนอง เทคนิคเหล่านี้จะลดเวลา INP ให้หน้าเว็บตอบสนองได้ทันใจผู้ใช้
ส่วนที่ 3: การแก้ไข CLS (สร้างเลย์เอาต์ที่นิ่งและเสถียร)
เน้นรักษาความนิ่งของเลย์เอาต์ ไม่ให้เนื้อหากระโดด หลัก ๆ คือ จองพื้นที่ว่าง สำหรับองค์ประกอบที่จะโหลดภายหลัง
- กำหนด width/height ให้กับ <img> และ <video> ทุกครั้ง เพื่อให้เบราว์เซอร์จัดสรรพื้นที่ไว้ล่วงหน้าขณะโหลด
- ใช้ CSS อย่าง aspect-ratio หรือ min-height ในกรณีของโฆษณาและเนื้อหาภายนอก เพื่อจองพื้นที่ที่เหมาะสม
- อย่าแทรกเนื้อหาใหม่เข้ามาบนสุดของหน้าจอโดยไม่มีการกระทำของผู้ใช้ (เช่น แบนเนอร์ลอย, Pop-up แบบไม่คาดคิด) ถ้าต้องใช้ควรเตรียมพื้นที่หรือสร้าง Placeholder ใหญ่ล่วงหน้า
- หลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหว (animation) ด้วย CSS ที่ต้อง reflow เช่น top หรือ left และควรใช้ transform แทนเพื่อลดการจัดเรียงใหม่
- จัดการ web fonts ให้ดี (เช่น ใช้ font-display: swap/optional) เพราะการโหลดฟอนต์ก็อาจทำให้เนื้อหากระพริบหรือย้ายตำแหน่งจนกระทบ CLS
เครื่องมือใช้วัด Core Web Vitals ที่แนะนำ
การวัด Core Web Vitals สามารถทำได้ง่ายด้วยเครื่องมือฟรีของ Google และเครื่องมือที่นิยมในวงการ SEO เช่น
- Google Search Console (Core Web Vitals report): แสดงภาพรวมของ LCP, INP, CLS จากผู้ใช้ Chrome จริง ๆ รายงานนี้จะชี้ว่าหน้าใดควรปรับปรุงบ้าง
- PageSpeed Insights (PSI): วิเคราะห์หน้าเว็บทีละ URL ให้คะแนน Core Web Vitals ทั้งจาก Lab และ Field Data พร้อมคำแนะนำทีละจุด
- Chrome DevTools: แท็บ Lighthouse ให้คุณรันเทสต์ได้เหมือน PageSpeed Insights ส่วนแท็บ Performance จะช่วยให้นักพัฒนาสามารถหาต้นตอของ “Long Tasks” ที่ทำให้ค่า INP สูงได้
บทสรุป Core Web Vitals ครึ่งปีหลัง 2025
การอัปเดต Core Web Vitals ช่วงครึ่งปีหลัง 2025 ย้ำว่า Google ยังคงใช้ Page Experience เป็นตัวชี้วัดอันดับสำคัญ นั่นคือเว็บไซต์ต้องโหลดเร็ว ลื่นไหล และเสถียร (โหลดเร็ว ไม่กระตุก ตอบสนองไว) และจำไว้ว่า Google มีเป้าหมายเดียวคือการมอบผลการค้นหาที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้ และเว็บที่ดีก็คือเว็บที่มอบประสบการณ์ที่ดีที่สุด การลงทุนลงแรงเพื่อปรับปรุง LCP, INP, และ CLS ในวันนี้ จึงไม่ใช่แค่การทำเพื่อเอาใจอัลกอริทึม แต่คือการลงทุนเพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับธุรกิจของคุณในระยะยาวนั่นเอง
กำลังมองหาผู้ให้บริการด้านนี้อยู่หรือเปล่า? ที่ช่วยสร้างรากฐานดิจิทัลที่แข็งแกร่ง ตั้งแต่การ รับทำเว็บไซต์ ที่มีโครงสร้างแข็งแรงรองรับ Core Web Vitals อย่างเต็มรูปแบบ ไปจนถึงการ รับทำ SEO ติดหน้าแรก Google อย่างครบวงจร Bizsoft เราพร้อมเป็นคำตอบที่ใช่สำหรับคุณ ด้วยทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมพูดคุยและให้คำปรึกษา เพื่อพาธุรกิจของคุณไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ ติดต่อวันนี้รับคำปรึกษาฟรี!!