พฤติกรรมผู้ใช้บนเว็บไซต์ คือหนึ่งในข้อมูลทองคำที่นักการตลาดยุคดิจิทัลไม่ควรมองข้าม เพราะในแต่ละคลิก การเลื่อนดูหน้าเว็บ หรือแม้แต่เวลาที่ผู้ใช้หยุดอ่านเนื้อหา สามารถเผย “อินไซต์ (Insight)” หรือเบื้องลึกทางความคิดของลูกค้าได้อย่างชัดเจน โดยไม่ต้องคาดเดา ซึ่งอินไซต์เหล่านี้จะช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับกลยุทธ์การตลาดให้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น ทั้งในด้านเนื้อหา การออกแบบเว็บไซต์ และประสบการณ์ของผู้ใช้งาน (User Experience) บทความนี้จะพาไปดู 5 พฤติกรรมผู้ใช้บนเว็บไซต์ที่บอกอินไซต์ทางการตลาดได้แบบไม่ต้องเดา เพื่อให้คุณนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาเว็บไซต์ และกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ความสำคัญของพฤติกรรมผู้ใช้บนเว็บไซต์ต่อการตลาดดิจิทัล
การทำการตลาดโดยอิงจาก พฤติกรรมผู้ใช้บนเว็บไซต์ ถือเป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ เพราะเป็นการบอกสิ่งที่ลูกค้าต้องการจริง ๆ กำลังมองหาอะไร และรู้สึกอย่างไรกับเนื้อหาที่เห็นบนหน้าเว็บ เมื่อธุรกิจสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมเหล่านี้ได้ก็จะสามารถ
- ปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ (UX) ให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
- วางแผนเนื้อหา (Content Strategy) ให้สอดคล้องกับสิ่งที่ผู้ชมต้องการจริง
- เพิ่มอัตราการเปลี่ยนเป็นลูกค้า (Conversion Rate) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- และที่สำคัญคือ ช่วยประหยัดงบประมาณการตลาด เพราะทุกแคมเปญถูกออกแบบจากข้อมูลจริง ไม่ใช่การคาดเดา
5 พฤติกรรมผู้ใช้บนเว็บไซต์ที่บอกอินไซต์ทางการตลาดได้แบบไม่ต้องเดา
1. ระยะเวลาที่อยู่บนเว็บไซต์ (Time on Page)
ระยะเวลาที่ผู้ใช้ใช้บนหน้าเว็บไซต์สะท้อนความสนใจต่อเนื้อหา หรือสินค้าที่นำเสนอ หากผู้ใช้อยู่ในหน้าเว็บไซต์นาน แสดงว่าเนื้อหามีคุณค่า และตอบโจทย์ความต้องการของเขาได้ดี แต่หากออกจากหน้าเว็บอย่างรวดเร็ว อาจเป็นสัญญาณว่าเนื้อหาไม่น่าสนใจ หรือไม่ตรงกับสิ่งที่ค้นหา การวิเคราะห์เวลาการเข้าชมช่วยให้รู้ว่าควรปรับปรุงเนื้อหา หรือ UX ตรงจุดใดเพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วม
2. อัตราการคลิก (Click-Through Rate: CTR)
CTR บ่งบอกว่าผู้ใช้ตอบสนองต่อเนื้อหา หรือปุ่มต่าง ๆ บนเว็บไซต์มากน้อยเพียงใด หากปุ่มหรือข้อความ Call-to-Action (CTA) มียอดคลิกสูง แปลว่าเว็บไซต์สามารถกระตุ้นความสนใจได้ดี แต่ถ้า CTR ต่ำ อาจต้องปรับคำ โทนภาษา หรือการจัดวางให้น่าสนใจขึ้น ข้อมูลนี้ช่วยนักการตลาดวางกลยุทธ์เพิ่ม Conversion ได้แม่นยำกว่าเดิม
3. เส้นทางการเข้าออกของผู้ใช้ (User Flow / Behavior Flow)
การดูเส้นทางที่ผู้ใช้เดินผ่านบนเว็บไซต์ตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย ช่วยเปิดเผยว่าผู้ใช้ให้ความสนใจกับส่วนใดมากที่สุด หากพบว่าผู้ใช้ส่วนใหญ่ไปจบที่หน้าติดต่อเรา แสดงว่ามีความสนใจซื้อจริง แต่ถ้าหลุดออกจากหน้าโปรโมชั่นเร็วเกินไป อาจบ่งบอกถึงความไม่ชัดเจนของข้อมูล การวิเคราะห์เส้นทางเหล่านี้ช่วยปรับโครงสร้างเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมจริงของผู้ชม
4. อัตราการตีกลับ (Bounce Rate)
Bounce Rate คือเปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้ที่เข้ามาเพียงหน้าเดียวแล้วออกทันที หากมีค่าสูงมาก แปลว่าเว็บไซต์ไม่ดึงดูด หรือเนื้อหาไม่ตรงความต้องการของผู้ชม ปัจจัยที่ทำให้เกิด Bounce Rate สูงมักมาจากหน้าเว็บโหลดช้า การจัดวางที่ไม่สบายตา หรือข้อความที่ไม่สื่อสารชัดเจน การลดอัตรานี้จึงต้องอาศัยการปรับ UX และการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพมากขึ้น
5. พฤติกรรมการใช้งานบนมือถือเทียบกับเดสก์ท็อป (Device Behavior)
การเปรียบเทียบพฤติกรรมผู้ใช้ระหว่างมือถือ และเดสก์ท็อปช่วยให้เข้าใจว่าผู้ชมต้องการประสบการณ์แบบใด หากส่วนใหญ่เข้าผ่านมือถือแต่เว็บไซต์ยังไม่รองรับหน้าจอเล็ก อาจทำให้ผู้ใช้ออกจากเว็บเร็วกว่าปกติ การปรับเว็บไซต์ให้เหมาะกับอุปกรณ์ยอดนิยมจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน และโอกาสในการตัดสินใจซื้อของลูกค้า
เครื่องมือวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้บนเว็บไซต์
- Google Analytics: เครื่องมือวิเคราะห์เว็บไซต์จาก Google ที่ช่วยติดตามพฤติกรรมผู้ใช้ได้อย่างละเอียด ทั้งจำนวนผู้เข้าชม แหล่งที่มา หน้าที่มีผู้เยี่ยมชมมากที่สุด และอัตราการแปลงเป็นลูกค้า (Conversion) นอกจากนี้ยังสามารถดูเส้นทางการเข้าชม (User Flow) เพื่อเข้าใจการเดินทางของผู้ใช้ในเว็บไซต์ได้อย่างแม่นยำ เหมาะสำหรับนักการตลาดที่ต้องการข้อมูลเชิงลึกในการปรับกลยุทธ์ออนไลน์
- Hotjar: เป็นเครื่องมือที่เน้นการวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้ผ่าน Heatmap และการบันทึกวิดีโอการใช้งานจริง ทำให้เห็นได้ว่าผู้ใช้คลิก หรือเลื่อนดูส่วนใดของหน้าเว็บมากที่สุด ช่วยให้เข้าใจว่าผู้ใช้สนใจจุดไหน หรือส่วนใดที่พวกเขามองข้ามได้ทันที นอกจากนี้ยังมีระบบสำรวจความคิดเห็น (Feedback Poll) เพื่อเก็บข้อมูลจากผู้ใช้โดยตรง
- Microsoft Clarity: เครื่องมือฟรีที่ช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้ผ่านวิดีโอบันทึกหน้าจอ และ Heatmap เช่นเดียวกับ Hotjar จุดเด่นคือไม่มีข้อจำกัดด้านจำนวนผู้เข้าชม และติดตั้งง่าย สามารถดูได้ว่าผู้ใช้หยุดเลื่อนตรงไหน คลิกผิดตรงจุดใด หรือออกจากหน้าเว็บเพราะเหตุใด เหมาะสำหรับเจ้าของเว็บไซต์ที่ต้องการข้อมูลจริงจากพฤติกรรมผู้ใช้งาน
- Crazy Egg: เครื่องมือที่ช่วยสร้างแผนภาพการคลิก (Click Map) และ Heatmap เพื่อวิเคราะห์ว่าผู้ใช้โต้ตอบกับเว็บไซต์อย่างไร พร้อมทั้งมีฟีเจอร์ A/B Testing ให้ทดสอบดีไซน์ หรือข้อความหลายแบบ เพื่อดูว่าแบบใดให้ผลตอบรับดีกว่ากัน ข้อมูลจาก Crazy Egg ช่วยให้การปรับปรุงเว็บไซต์มีทิศทางที่ชัดเจน และอิงตามพฤติกรรมจริงของผู้ใช้
- Matomo Analytics: เครื่องมือวิเคราะห์เว็บไซต์แบบโอเพนซอร์สที่เน้นความปลอดภัยของข้อมูล เพราะเจ้าของเว็บไซต์สามารถเก็บข้อมูลไว้ในเซิร์ฟเวอร์ของตนเองโดยไม่ต้องแชร์กับบุคคลที่สาม ให้ข้อมูลคล้าย Google Analytics ทั้งในส่วนของผู้เข้าชม เส้นทางการใช้งาน และ Conversion เหมาะกับองค์กรที่ต้องการควบคุมข้อมูลลูกค้า และเน้นความเป็นส่วนตัวสูงสุด
บทสรุป หยุดเดาใจลูกค้า! ฟังเสียงผู้ใช้ผ่านพฤติกรรมบนเว็บไซต์
การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้บนเว็บไซต์ให้ข้อมูลเชิงลึกที่ช่วยให้นักการตลาดปรับปรุงกลยุทธ์ และสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้กับลูกค้า เมื่อเราเห็นว่าผู้ใช้คลิกหรือเลื่อนหน้าจุดไหน อ่านเนื้อหาส่วนใดนานที่สุด หรือออกจากเว็บที่หน้าใด ข้อมูลเหล่านี้นำไปสู่การตัดสินใจที่ไม่ต้องเดา เช่น ปรับเพิ่มเนื้อหาในหน้าที่ได้รับความสนใจ ปรับปรุงขั้นตอนซื้อขายในหน้าที่มีการออกสูง หรือออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ตามเส้นทางการใช้งานของผู้ใช้
ดังนั้น ธุรกิจควรเริ่มเก็บข้อมูล และวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้บนเว็บไซต์ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะตามที่ศึกษาพบว่าการ เก็บข้อมูลพฤติกรรมบนหน้าเว็บเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญ ในการวิเคราะห์ และนำข้อมูลไปใช้เชิงกลยุทธ์อย่างมีประสิทธิภาพ การอาศัยข้อมูลเหล่านี้จะช่วยลดการเดาสุ่ม และเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จของแคมเปญการตลาดมากขึ้นในยุคดิจิทัล
มาเปลี่ยนเว็บไซต์ของคุณให้โดดเด่น และเข้าใจผู้เข้าชมได้มากกว่าใคร! กับ Bizsoft บริษัทผู้ให้บริการด้านดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งแบบครบวงจร โดยเฉพาะการ รับทำเว็บไซต์และ SEO ติดหน้าแรก Google เพื่อช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุด และเพิ่มยอดขายอย่างยั่งยืน ทีมงาน BizSoft มีความเชี่ยวชาญทั้งด้านกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ การออกแบบเว็บไซต์ และการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ชัดเจน และวัดผลได้จริง ติดต่อเราได้เลยวันนี้!!
